วันหนึ่งทางเราได้รับการติดต่อจากคุณผู้หญิงท่านหนึ่ง ชื่อ คุณรีซึ่งกำลังมีปัญหาสุขภาพเรื่องของความดันโลหิตสูง ซึ่งปกติก็จะทานยาตามคุณหมอสั่งเพื่อควบคุมค่าความดันโลหิตไว้ไม่ให้สูงเกินไป แต่ค่าที่วัดได้ปกติก็จะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 140 - 160 ก็ยังนับว่าเป็นค่าที่ค่อนข้างสูงอยู่
หลังจากที่ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการทำไฮโดรเจนบำบัดเพื่อดูแลอาการความดันโลหิตสูง ด้วยการดื่มน้ำไฮโดรเจน และการสูดดมก๊าซไฮโดรเจนแล้ว จึงได้ตัดสินใจที่จะทำไฮโดรเจนบำบัดด้วยตัวเอง เมื่อได้รับอุปกรณ์ครบแล้วจึงเริ่มทำไฮโดรเจนบำบัดด้วยการปรับสภาพน้ำที่ดื่มเป็นประจำทุกวันให้มีค่าไฮโดรเจนอยู่ในน้ำด้วย
ในแง่ทางวิชาการมีผลงานวิจัยรองรับว่าน้ำที่อุดมไปด้วยไฮโดรเจนจะช่วยลดอนุมูลอิสระอันเป็นต้นเหตุของการเกิดไขมันเลวในหลอดเลือดได้ อีกทั้งน้ำไฮโดรเจนยังเป็นน้ำกลุ่มโมเลกุลเล็กที่ซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ดีช่วยลดอาการเลือดหนืดเลือดข้นทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น เมื่อหลอดเลือดสะอาด เลือดไหลเวียนได้ดี ก็มีส่วนช่วยให้ความดันโลหิตที่สูง กลับมาอยู่ในเกณฑ์ที่เป็นปกติได้อีกครั้ง
คุณรี่เริ่มต้นปรับการดื่มน้ำจากน้ำดื่มธรรมดามาเป็นน้ำไฮโดรเจนเป็นประจำทุกวันๆละ 4-6 กระบอกและทำการจดบันทึกค่าความดันโลหิตที่วัดได้ในทุกๆวัน ตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มทำการบำบัดด้วยไฮโดรเจนผลปรากฏว่าค่าความดันโลหิตที่ได้ 4 วันก่อนที่จะเริ่มต้นดื่มน้ำไฮโดรเจนเฉลี่ยอยู่ที่142-161
และหลังจากดื่มน้ำไฮโดรเจนแล้วเป็นเวลา 7 วัน ปรากฏว่าค่าความดันโลหิตค่อยๆลดลงตามลำดับจาก 130 กว่าๆ ลดลงเหลือ120 กว่าๆ จนกระทั่งเหลือ 110 กว่าๆ และปัจจุบันค่าความดันโลหิตก็จะอยู่เฉลี่ยๆประมาณ 115-130
ล่าสุดเมื่อวันที่ 27/01/22 พี่สาวท่านนี้ได้ไปทำการตรวจสุขภาพและได้พบกับผลลัพธ์ที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะเจอเรื่องนี้ผลตรวจสุขภาพปรากฏว่าค่าคลอเรสเตอรอลลดลง จาก 234 เหลือ 190 ค่าไขมันเลว LDL ลดลง จาก 134 เหลือ 102 ปัจจุบันคุณหมอให้งดยาความดันแล้ว ให้ทานเฉพาะเวลาที่ความดันขึ้นสูงจริงๆ
คุณสมบัติของไฮโดรเจนที่สำคัญคือ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีมากตัวหนึ่ง ซึ่งอนุมูลอิสระนั้นคือตัวทำลายเซลล์ร่างกายให้เสื่อมสภาพ ไม่สามารถทำหน้าที่ได้เป็นปกติ เมื่อดื่มน้ำไฮโดรเจนเป็นประจำ จะช่วยกำจัดตัวทำลายเซลล์ร่างกายออกไป และเซลล์ในร่างกายจะถูกฟื้นฟูให้กลับมาทำงานได้เป็นปกติอีกครั้ง เมื่อเซลล์ทำงานได้ปกติก็จะส่งผลให้ความดันโลหิตในร่างกายกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นภาวะความดันต่ำ หรือ ภาวะความดันสูงก็ตาม